การบูชาพระในบ้านที่ยังมีลมหายใจ มีความสำคัญอย่างยิ่ง พระในบ้านนี้คือ พ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด บำรุงเลี้ยงเราให้เติบใหญ่จนบัดนี้ การดูแลตอบแทนท่านทั้งสอง นอกจากจะยังประโยชน์สุขแก่ท่าน แล้วยังเป็นการพัฒนาจิตเราเอง ให้ยกระดับขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้
วันนี้เราจะพูดกันเรื่อง พระในบ้าน เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็เข้าใจว่ารู้จักดีแล้ว แต่กลับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างไม่คาดคิด เพราะสิ่งใกล้ตัว ยิ่งใกล้มากเท่าใด เราคิดว่าดูแลดีแล้วเรารู้จักดีแล้ว เรากลับมักจะละเลยเอาไว้ในฐานที่เขาต้องรู้ใจเรา ต้องเข้าใจเรา พระในบ้านนี้ พระพุทธเจ้าหมายถึงพ่อแม่ของเรา ทำไมท่านถึงเปรียบพ่อแม่เป็นพระในบ้าน ก็เพราะจิตใจพ่อแม่ที่นึกถึงลูก เปรียบเหมือนพระคือมีแต่ให้
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักเป็นผู้ให้ เหมือนกับพ่อแม่ผู้เป็นบุพการีที่ให้กับลูกๆ แล้วก็เป็นปกติของน้ำที่จะไหลลงสู่ที่ต่ำ พ่อแม่เป็นห่วงลูก มันจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป แต่ถ้าเราเป็นคนที่คิดไปตามที่กิเลสพาให้คิด เราก็มักจะมีข้ออ้าง ถึงเราจะห่วงจะดูแลเอาใจใส่พ่อแม่ดีอย่างไร ท่านก็ยังคงบ่นอยู่นั่น จะเอาเวลาที่ไหนมาคอยเอาใจใส่กันไม่รู้จบ เงินก็ให้แล้ว ให้คนมาดูแลแล้ว แล้วยังจะเอาอะไรกับเราอีก พ่อแม่ก็ว้าเหว่ ก็ทุกข์ เพราะลูกไม่ได้ให้น้ำใจ ไม่ได้ให้สิ่งที่พ่อแม่ต้องการ
น้ำใจของลูกๆ แม้เพียงนิดเดียว เพียงแค่แวะมาหาแล้วถามไถ่ว่าพ่อแม่สบายดีหรือไม่เท่านั้น ท่านก็ชื่นใจ ถ้าเรานึกถึงในแง่ที่ว่าความรักของพ่อแม่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าที่เรามอบให้แก่ท่าน อาจจะทำให้จิตใจของเราอ่อนโยนกว้างขวาง และลุ่มลึกขึ้นบ้าง เราจะได้มองเห็นและเข้าใจว่าจิตใจของพ่อแม่นั้นตลอดชีวิตคิดถึงแต่ลูกอย่างไร ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ เรากลับรู้สึกว่าเมื่อไรเราจะโตเสียที จะได้ไปจากบ้านไปท่องโลกกว้างให้มีความสุข ใจของลูกทุกคนก็คงเป็นอย่างนี้ ยิ่งถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ย้อนเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราก็ไปคิดว่าความห่วงใยของท่านนี่เป็นเหมือนกรงขังเราไว้ แต่ใจของคนที่ยังมีอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นไปคนละทาง เป็นรวงรังของทุกข์ เราก็แปลความรักไปเป็นการกดขี่ แต่เราไม่ได้นึกเลยว่ากิริยาวาจาที่เราพูดไปทำให้ท่านทุกข์โทมนัส บางทีก็สะท้อนใจจนน้ำตาซึม ก็ลองคิดดู ที่เราไปทำให้ท่านเป็นทุกข์อย่างนี้ก็เหมือนไปกรีดใจท่านให้เกิดบาดแผล ทำให้เจ็บทุกข์ทรมานปานจะฆ่าให้ตาย ไม่ได้ฆ่าด้วยอาวุธให้กายตายหรอก แต่ฆ่าจิตใจ คิดดูว่าทรมานแค่ไหน
การที่เราไม่เห็นพิษภัย ไม่เห็นตามเป็นจริงว่าจิตใจที่พัฒนามาแต่ละขั้นตอนมีความสำคัญอย่างไรบ้าง มันก็จะทำให้เราทำร้ายตัวเราเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เราไม่ได้บูชา ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระในบ้านของเราให้สมกับที่เราควรจะทำ คนบางคนคิดว่าตัวเองเป็นคนกตัญญูรู้คุณเป็นพุทธศาสนิกชน ที่ในบ้านมีห้องพระใหญ่โต มีพระพุทธรูปที่งดงามปางต่างๆ ไว้บูชา จัดสำรับดูแลอย่างดี ทำทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง บูชาพระทุกเช้าค่ำ แต่พระที่มีลมหายใจอยู่กลับไม่ได้เห็น ไม่ได้บูชา ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว จิตใจจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร ให้หมั่นนึกเช่นนี้ พอเราจะนึกตำหนิขุ่นเคืองพระในบ้านของเรา ให้เรานึกว่าเราเองทำอะไรให้ท่านได้ชื่นใจบ้าง ถ้าเราจะหัดเป็นคนสงบเสงี่ยม มีขันติและโสรัจจะ หัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย ให้ท่านชื่นใจ จะทำให้เราต้องใช้แรงกายแรงใจ แรงทรัพย์มากมายจนสิ้นเนื้อประดาตัวเลยหรือ ให้คิดว่าการฝึกอย่างนี้เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณกับพระในบ้านของเรา เมื่อฝึกอยู่เรื่อยๆ เราจะค่อยๆ นุ่มนวลขึ้น แล้วไม่ได้นุ่มนวลเฉพาะกับพระของเราเท่านั้น แต่จะเปลี่ยนจากปุถุชนกลายมาเป็นคนนุ่มนวล ละเอียดอ่อน เป็นกัลยาณชนทำอะไรก็รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักสังเกตสิ่งต่างๆ พัฒนาตนขึ้นเป็นสุขุมาลยชน
เพราะใจที่เจ้าของคอยฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง จะเริ่มรู้ เริ่มตื่นจากอุปาทาน อวิชชา เริ่มตื่นจากกิเลสทั้งหลาย คืนสู่ความเป็นพุทธะ คือผู้รู้ อะไรๆ ที่เราทำก็จะไม่มีอคติ ก็เหมือนมีพระให้พร มีพระคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา กายก็ดี วาจาก็ดี ที่เราทำออกไป เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะเรามีพระอยู่ในใจเรา พระในบ้านที่เราคอยบำรุงรักษา บูชาไม่ให้เดือดเนื้อร้อนใจ เราก็ได้คุณความดีอันนี้มาเป็นอุปนิสัยของเรา มองดูคนอื่นๆ ในโลกนี้ด้วยจิตใจที่เมตตา มีเยื่อใยมีน้ำใจต่อกัน แล้วคุณงามความดีนี้เป็นของใคร ไม่ใช่เป็นของพ่อแม่ แต่เป็นของเราเอง ใจเราก็มีความสุข สิ่งนี้เป็นพรที่พ่อแม่ให้เรา
ถ้าเรามีสติปัญญารู้ตามเป็นจริง เราจะเสียดายเวลาที่ผ่านไป เราจะเสียดายสิ่งที่เราทำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะฤทธิ์ของอวิชชา อุปาทานที่ครอบครองใจอยู่ ที่สำคัญคือเราทำผิดกับใครก็ไม่ร้ายเท่ากับไปล่วงเกินพระอรหันต์ในบ้าน เห็นอย่างนี้แล้ว เราจะได้พิจารณาตัวเรา พัฒนาใจเรา ให้ขยับภพภูมิขึ้นไปเรื่อยๆ การได้ภพภูมิของมนุษย์เป็นสมบัติอันประเสริฐ
การได้เป็นมนุษย์จึงสามารถพัฒนาตัวเองไปเป็นสุขุมาลยชนได้ ซึ่งใกล้กับความเป็นอริยชนเพราะมีโอกาสได้ดูจิตใจของตัว ได้เพิ่มพูนสติสัมปชัญญะปัญญาจนบริบูรณ์ เราจะได้ขวนขวายตักตวงอริยทรัพย์ไว้เป็นเสบียง ไม่มีพรไหน ไม่มีปีติใด จะมีอิทธิพลมากเท่าพลังปีติจากพ่อแม่ของเรา เมื่อเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้ไม่เผลอส่งคลื่นไปก่อกวนให้พ่อแม่ต้องเร่าร้อน เป็นทุกข์ เดือดร้อน คับข้องใจ ให้เราระลึกไว้ว่า แต่นี้ไปถ้าทำดียังไม่ได้ ให้อมน้ำมนต์เอาไว้ เมื่อโอกาสทำดีมาถึง สิ่งที่พูดออกมาต้องเป็นวาจาที่สุภาพ วาจาที่ทำให้พ่อแม่ชุ่มชื่นใจ สุขใจ ได้บังเกิดความร่มเย็นขึ้นอะไรๆ ที่คิดว่าแก้ไม่ได้จะแก้ได้เสมอ ถ้าธรรมแก้ไม่ได้ หรือจิตใจคนเรากระด้างเกินแก้ โลกนี้จะไม่มี พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาได้
การที่โพธิ์สัตว์ผู้เป็นส่วนผสมของพุทธะกับกิเลส สามารถที่จะแหวกวงล้อมของกิเลสขึ้นมา เป็นบัวที่โผล่เหนือน้ำ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แล้วองค์เล่า เป็นแสงสว่าง ให้เรามีความหวังอยู่ในโลกนี้ได้ ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าไม่มีจิตดวงไหน ที่กระด้างจนเกินแก้ไข ขอให้เราเป็นชาวพุทธที่มั่นคงในการดูแลพระในบ้านของเรา
หนังสือพระในบ้าน
อาจารย์อมรา มลิลา
ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ที่มา : https://web.ybatnet.org/th/blog/detail.php?id=67&page=